แนวข้อสอบ นักวิชาการสิทธิมนุษยชนปฏิบัติการ สำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ

พระราชบัญญัติคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ พ.ศ. 2542 มีสาระสำคัญในการจัดตั้งคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ เพื่อทำหน้าที่ในการส่งเสริม คุ้มครอง และตรวจสอบการละเมิดสิทธิมนุษยชนในประเทศ ซึ่งเป็นองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ

ตามประมวลจริยธรรมข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2552 ข้อ 5 กำหนดให้ข้าราชการต้องยึดหลักการให้บริการแก่ประชาชนด้วยความเป็นธรรม เสมอภาค และไม่เลือกปฏิบัติ ซึ่งสอดคล้องกับหน้าที่ของนักวิชาการสิทธิมนุษยชนในการคุ้มครองและส่งเสริมสิทธิมนุษยชนอย่างเท่าเทียม

ตามพระราชบัญญัติคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ พ.ศ. 2542 มาตรา 15 กำหนดให้คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนฯ มีอำนาจตรวจสอบและรายงานการละเมิดสิทธิมนุษยชน โดยจะต้องรับเรื่องร้องเรียน สืบสวน สอบสวน และหาข้อเท็จจริงก่อนดำเนินการต่อไป

รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา 25 กำหนดให้รัฐมีหน้าที่คุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของบุคคล ซึ่งหมายถึงสิทธิพื้นฐานขั้นต้นที่มนุษย์พึงได้รับ เช่น สิทธิในชีวิตและร่างกาย เสรีภาพส่วนบุคคล เป็นต้น

ตามประมวลจริยธรรมข้าราชการพลเรือน พ.ศ.2552 ข้าราชการต้องรักษาความเป็นกลางทางการเมือง ไม่แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับนโยบายของรัฐบาลผ่านสื่อมวลชน เพราะอาจกระทบต่อความเป็นกลางในการปฏิบัติหน้าที่ การแสดงความคิดเห็นเช่นนี้ถือเป็นการแทรกแซงกิจการของรัฐบาล

ตามพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ.2540 มาตรา 47 กำหนดให้การเปิดเผยข้อมูลที่เป็นความลับของทางราชการโดยไม่ได้รับอนุญาต เป็นความผิดทางอาญา ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ เพื่อรักษาความมั่นคงและประโยชน์ของรัฐ

ตามพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ.2540 ข้าราชการต้องพิจารณาว่าข้อมูลนั้นเป็นข้อมูลข่าวสารที่ต้องเปิดเผยต่อสาธารณะหรือมีข้อยกเว้นไม่ต้องเปิดเผย หากเป็นข้อมูลที่ต้องเปิดเผย ก็ต้องดำเนินการให้ข้อมูลแก่ประชาชนโดยไม่ชักช้า แต่หากเป็นข้อมูลที่มีข้อยกเว้นไม่ต้องเปิดเผย ก็สามารถปฏิเสธได้

ตามพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ.2540 มาตรา 15 กำหนดให้ข้อมูลข่าวสารที่เป็นความลับของทางราชการ ต้องไม่เปิดเผยต่อสาธารณะ โดยไม่คำนึงว่าผู้นั้นจะเป็นข้าราชการอยู่หรือเกษียณแล้ว เพื่อรักษาความมั่นคงและประโยชน์ของรัฐ

ตามพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ.2540 ข้อมูลที่ได้มาจากการสอบสวนเป็นข้อมูลข่าวสารที่เกี่ยวกับการบริหารงานภายในของหน่วยงานของรัฐ ซึ่งมีข้อยกเว้นไม่ต้องเปิดเผยต่อสาธารณะ เนื่องจากอาจกระทบต่อการบังคับใช้กฎหมายหรือความมั่นคงของประเทศ

ตามระเบียบการเบิกจ่ายค่าใช้จ่ายในการบริหารงานของส่วนราชการ พ.ศ.2553 ข้าราชการที่ปฏิบัติงานล่วงเวลาเกินกว่า 2 ชั่วโมงจะมีสิทธิได้รับค่าอาหารและค่าล่วงเวลา อย่างไรก็ตาม จะต้องได้รับอนุมัติจากผู้บังคับบัญชาก่อนดำเนินการ การเบิกจ่ายโดยไม่ได้รับอนุมัติถือเป็นการใช้จ่ายที่ไม่ถูกต้อง

ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการให้หรือรับของขวัญของเจ้าหน้าที่ของรัฐ พ.ศ.2544 ข้าราชการและเจ้าหน้าที่ของรัฐไม่สามารถรับค่าตอบแทนจากหน่วยงานภายนอกได้ เพราะถือเป็นการรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดโดยมิชอบ ซึ่งอาจก่อให้เกิดการขัดกันของผลประโยชน์และไม่เป็นกลางในการปฏิบัติหน้าที่

ตามพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ.2540 มาตรา 15 กำหนดให้การเปิดเผยข้อมูลข่าวสารที่อาจก่อให้เกิดความเสียหายต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ หรือความมั่นคงของประเทศ เป็นข้อยกเว้นที่ไม่ต้องเปิดเผย ดังนั้น การเปิดเผยข้อมูลเพื่อเปิดโปงการทุจริตจึงไม่ถือเป็นการละเมิดความลับทางราชการ

ตาม พ.ร.บ.ระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ.2534 ข้าราชการต้องปฏิบัติหน้าที่ด้วยความเป็นธรรม ไม่เลือกปฏิบัติ และไม่แสวงหาประโยชน์ส่วนตัว การช่วยเหลือญาติสนิทในการบรรจุแต่งตั้งโดยไม่มีคุณสมบัติที่เหมาะสมขัดต่อหลักธรรมาภิบาล และอาจถูกกล่าวหาว่าเป็นการเลือกปฏิบัติ

ตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2561 ข้าราชการต้องปฏิบัติหน้าที่ด้วยความเป็นธรรม ไม่เลือกปฏิบัติ และไม่ยอมรับการแทรกแซงจากบุคคลใด การช่วยเหลือบุคคลที่มีอิทธิพลเพื่อให้ได้รับการจัดซื้อจัดจ้างโดยไม่มีเหตุผลอันสมควรถือเป็นการใช้ตำแหน่งหน้าที่แสวงหาประโยชน์ส่วนตัว ซึ่งขัดต่อจริยธรรมข้าราชการ

ตาม พ.ร.บ.ข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ.2540 ข้าราชการมีหน้าที่เปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับการใช้จ่ายงบประมาณของภาครัฐ เพื่อให้เกิดความโปร่งใสและความรับผิดชอบต่อสาธารณะ การปกปิดข้อมูลหรือละเลยการแจ้งเบาะแสถือเป็นการกระทำผิดจริยธรรม

ตาม พ.ร.บ.ข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ.2540 ข้าราชการมีหน้าที่รักษาความลับทางราชการ เปิดเผยเฉพาะเท่าที่จำเป็นเพื่อประโยชน์ของทางราชการและประชาชน การเปิดเผยข้อมูลความลับที่ไม่จำเป็นถือเป็นการกระทำผิดวินัย แม้จะมีการร้องขอ

ตาม พ.ร.บ.ระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ.2534 ข้าราชการต้องปฏิบัติหน้าที่ด้วยความเป็นธรรม ไม่เลือกปฏิบัติ และไม่แสวงหาประโยชน์ส่วนตัว การช่วยเหลือญาติสนิทในการบรรจุแต่งตั้งโดยไม่มีคุณสมบัติที่เหมาะสมขัดต่อหลักธรรมาภิบาล และอาจถูกกล่าวหาว่าเป็นการเลือกปฏิบัติ

ตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2561 ข้าราชการต้องปฏิบัติหน้าที่ด้วยความเป็นธรรม ไม่เลือกปฏิบัติ และไม่ยอมรับการแทรกแซงจากบุคคลใด การช่วยเหลือบุคคลที่มีอิทธิพลเพื่อให้ได้รับการจัดซื้อจัดจ้างโดยไม่มีเหตุผลอันสมควรถือเป็นการใช้ตำแหน่งหน้าที่แสวงหาประโยชน์ส่วนตัว ซึ่งขัดต่อจริยธรรมข้าราชการ

ตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2561 มาตรา 103 ห้ามเจ้าหน้าที่ของรัฐรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดจากบุคคลที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติหน้าที่ เพื่อรักษาความเป็นกลางและป้องกันการขัดกันของผลประโยชน์ การรับของขวัญจะถือเป็นการกระทำผิดทางวินัยและอาจมีความผิดทางอาญา

ตาม พ.ร.บ.ข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ.2540 ข้าราชการมีหน้าที่เปิดเผยข้อมูลสาธารณะ เพื่อให้ประชาชนตรวจสอบการใช้งบประมาณของภาครัฐ การปกปิดข้อมูลหรือละเลยการแจ้งเบาะแสถือเป็นการกระทำผิดจริยธรรม การเปิดเผยข้อมูลจะช่วยให้เกิดความโปร่งใสและความรับผิดชอบต่อสาธารณะ

ตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2561 ข้าราชการต้องปฏิบัติหน้าที่ด้วยความเป็นธรรม ไม่เลือกปฏิบัติ และไม่ยอมรับการแทรกแซงจากบุคคลใด การเข้าไปช่วยเหลือพวกพ้องเมื่อไม่มีเหตุผลอันสมควรถือเป็นการใช้ตำแหน่งหน้าที่แสวงหาประโยชน์ส่วนตัว ซึ่งขัดต่อจริยธรรมข้าราชการ

ตาม พ.ร.บ.ข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ.2540 ข้าราชการต้องรักษาความลับทางราชการ เปิดเผยเฉพาะเท่าที่จำเป็นเพื่อประโยชน์ของทางราชการและประชาชน การเปิดเผยข้อมูลความลับโดยไม่จำเป็นถือเป็นการกระทำผิดวินัย

เมื่อผู้ปฏิบัติงานด้านสิทธิมนุษยชนพบเห็นการละเมิดสิทธิ ควรรายงานหรือแจ้งต่อหน่วยงานที่รับผิดชอบ เช่น คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ เพื่อให้มีการตรวจสอบข้อเท็จจริงและดำเนินการแก้ไขปัญหาอย่างเร่งด่วน ตามที่กำหนดไว้ในพระราชบัญญัติคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ พ.ศ. 2542

ความรับผิดชอบที่สำคัญที่สุดของนักวิชาการสิทธิมนุษยชน คือ การคุ้มครองและส่งเสริมสิทธิเสรีภาพของประชาชน ตามที่รัฐธรรมนูญและกฎหมายที่เกี่ยวข้องกำหนด เพื่อให้ประชาชนได้รับการปฏิบัติอย่างเท่าเทียมและมีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ซึ่งเป็นภารกิจหลักของตำแหน่งนี้

เมื่อได้รับร้องเรียนเกี่ยวกับการละเมิดสิทธิ ผู้ปฏิบัติงานด้านสิทธิมนุษยชนควรปฏิบัติตนด้วยความเป็นกลาง รอบคอบ และให้ความสำคัญกับการรับฟังข้อเท็จจริงจากทุกฝ่าย เพื่อให้สามารถวิเคราะห์และดำเนินการได้อย่างยุติธรรม ซึ่งสอดคล้องกับหลักการสืบสวนสอบสวนตามพระราชบัญญัติคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ พ.ศ. 2542

หน้าที่หลักของนักวิชาการสิทธิมนุษยชนคือ การคุ้มครองและส่งเสริมสิทธิเสรีภาพของประชาชน ตามที่รัฐธรรมนูญและกฎหมายที่เกี่ยวข้องกำหนด โดยต้องยึดมั่นในหลักการเคารพศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์และความเสมอภาค ซึ่งจะส่งผลให้การปฏิบัติงานบรรลุตามเป้าหมายของตำแหน่งนี้

นักวิชาการสิทธิมนุษยชนควรมีวิธีการปฏิบัติงานที่ยึดหลักความเป็นกลาง ไม่เลือกปฏิบัติ และให้ความสำคัญกับการรับฟังข้อเท็จจริงอย่างรอบด้าน เพื่อให้สามารถวิเคราะห์และให้ความเห็นได้อย่างเป็นธรรม ซึ่งจะช่วยคุ้มครองสิทธิของประชาชนได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ผู้ปฏิบัติงานด้านสิทธิมนุษยชนควรมีจิตสำนึกในการปกป้องและส่งเสริมศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของทุกคนอย่างเท่าเทียม ซึ่งเป็นคุณลักษณะสำคัญเพื่อให้สามารถปฏิบัติหน้าที่ด้วยความเป็นกลาง ยุติธรรม และไม่เลือกปฏิบัติ

การกำหนดรายละเอียดการปฏิบัติงานในตำแหน่งนักวิชาการสิทธิมนุษยชนที่สำคัญที่สุด คือ การกำหนดให้มีหน้าที่ในการคุ้มครองและส่งเสริมสิทธิเสรีภาพของประชาชนตามรัฐธรรมนูญและกฎหมายที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้การปฏิบัติงานบรรลุตามวัตถุประสงค์หลักของตำแหน่งนี้

การให้บริการแก่ประชาชนตามหลักธรรมาภิบาลต้องยึดหลักความโปร่งใส เป็นธรรม และตรวจสอบได้ เพื่อให้ประชาชนได้รับบริการอย่างเสมอภาคและเท่าเทียมกัน ซึ่งสอดคล้องกับพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี พ.ศ. 2546

ตามหลักการแห่งกฎหมายว่าด้วยคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ พ.ศ.2542 ข้าราชการมีหน้าที่ต้องรายงานหรือแจ้งการพบเห็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้มีการตรวจสอบและดำเนินการแก้ไขอย่างทันท่วงที ทั้งนี้เพื่อปกป้องและคุ้มครองสิทธิของประชาชนอย่างเต็มที่

ผู้ปฏิบัติงานด้านสิทธิมนุษยชนมีหน้าที่หลักในการคุ้มครองและส่งเสริมสิทธิเสรีภาพของประชาชนตามที่รัฐธรรมนูญและกฎหมายกำหนด โดยต้องยึดมั่นในหลักการเคารพศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์และความเสมอภาค

การส่งเสริมความรู้ความเข้าใจด้านสิทธิมนุษยชนให้แก่เจ้าหน้าที่ภาครัฐเป็นภารกิจสำคัญของนักวิชาการสิทธิมนุษยชน ตามที่กำหนดในพระราชบัญญัติคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ พ.ศ.2542 เพื่อให้การปฏิบัติหน้าที่ของภาครัฐเป็นไปอย่างเคารพสิทธิมนุษยชน ส่วนตัวเลือกอื่นแม้จะเป็นการดำเนินการที่เหมาะสม แต่ไม่ใช่ภารกิจหลักของนักวิชาการสิทธิมนุษยชน

เมื่อได้รับเรื่องร้องเรียนเกี่ยวกับการละเลยการคุ้มครองสิทธิ นักวิชาการสิทธิมนุษยชนมีหน้าที่ในการตรวจสอบข้อเท็จจริง รวบรวมพยานหลักฐาน และเสนอแนะแนวทางการแก้ไขปัญหาต่อคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ตามที่กำหนดในพระราชบัญญัติคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ พ.ศ.2542 เพื่อให้มีการแก้ไขปัญหาอย่างเหมาะสม ส่วนตัวเลือกอื่นแม้จะเป็นวิธีการที่สมเหตุสมผล แต่ไม่ตรงกับภารกิจหลักของนักวิชาการสิทธิมนุษยชน

เมื่อพบกรณีการละเมิดสิทธิของผู้ร้องเรียน นักวิชาการสิทธิมนุษยชนมีหน้าที่ในการตรวจสอบข้อเท็จจริง รวบรวมพยานหลักฐาน และเสนอแนะแนวทางการแก้ไขปัญหาต่อคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ตามที่กำหนดในพระราชบัญญัติคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ พ.ศ.2542 เพื่อให้มีการคุ้มครองและเยียวยาผู้ถูกละเมิดสิทธิ ส่วนตัวเลือกอื่นแม้จะเป็นวิธีการที่สมเหตุสมผล แต่ไม่ตรงกับภารกิจหลักของนักวิชาการสิทธิมนุษยชน

การตรวจสอบและแก้ไขปัญหาการเลือกปฏิบัติของเจ้าหน้าที่เป็นหน้าที่สำคัญของนักวิชาการสิทธิมนุษยชน ตามที่กำหนดในพระราชบัญญัติคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ พ.ศ.2542 เพื่อให้การปฏิบัติงานเป็นไปอย่างเท่าเทียม ไม่เลือกปฏิบัติ และสอดคล้องกับหลักการสิทธิมนุษยชน ส่วนตัวเลือกอื่นแม้จะเป็นวิธีการที่สมเหตุสมผล แต่ไม่ใช่บทบาทหลักของนักวิชาการสิทธิมนุษยชน

การรักษาความลับและคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของผู้ร้องเรียนเป็นหน้าที่หลักของนักวิชาการสิทธิมนุษยชน ตามจรรยาบรรณและมาตรฐานการปฏิบัติงานของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ การเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลโดยไม่จำเป็นจะละเมิดสิทธิของผู้ร้องเรียน ส่วนตัวเลือกอื่นแม้จะมีเหตุผลสมเหตุสมผล แต่ไม่ตรงกับบทบาทหน้าที่ของนักวิชาการสิทธิมนุษยชน

การติดตามตรวจสอบและแก้ไขข้อบกพร่องในการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกับการคุ้มครองสิทธิมนุษยชนเป็นภารกิจสำคัญของนักวิชาการสิทธิมนุษยชน ตามที่กำหนดในพระราชบัญญัติคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ พ.ศ.2542 เพื่อให้การปฏิบัติงานเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและสอดคล้องกับหลักการคุ้มครองสิทธิมนุษยชน ส่วนตัวเลือกอื่นไม่ใช่หน้าที่หลักของนักวิชาการสิทธิมนุษยชน

การรักษาความลับของข้อมูลที่ได้รับจากการปฏิบัติหน้าที่เป็นหลักการสำคัญของนักวิชาการสิทธิมนุษยชน ตามมาตรฐานจริยธรรมที่กำหนดโดยคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ การเปิดเผยข้อมูลอาจส่งผลกระทบต่อผู้ร้องเรียนและขัดแย้งกับหลักการคุ้มครองสิทธิ ส่วนตัวเลือกอื่นเป็นการปฏิบัติที่ถูกต้องตามหน้าที่

ตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2561 มาตรา 103 ห้ามมิให้เจ้าหน้าที่ของรัฐรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดจากบุคคลที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติหน้าที่ เพื่อรักษาความเป็นกลางและป้องกันการขัดกันของผลประโยชน์ ดังนั้น ข้าราชการจึงควรปฏิเสธการรับทันที

ตาม พ.ร.บ.คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ พ.ศ.2542 มาตรา 26 ข้าราชการที่พบการละเมิดสิทธิมนุษยชนในหน่วยงานมีหน้าที่ต้องรายงานต่อคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ เพื่อให้ดำเนินการสืบสวนและแก้ไขปัญหา การปิดบังหรือละเลยการรายงานถือเป็นความผิด ส่วนการยื่นเรื่องร้องเรียนโดยตรงจะเป็นการบุกรุกอำนาจหน้าที่

เมื่อข้าราชการถูกกล่าวหาว่ากระทำการทุจริต ตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2561 มาตรา 123 ต้องให้ความร่วมมือในการชี้แจงข้อเท็จจริงและหลักฐานที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้การสืบสวนสอบสวนเป็นไปอย่างรวดเร็วและเปิดเผย ทั้งนี้เพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตนเอง

ตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2561 มาตรา 103 ห้ามมิให้เจ้าหน้าที่ของรัฐรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดจากบุคคลที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติหน้าที่ ยกเว้นจากญาติหรือเป็นการรับในลักษณะที่บุคคลทั่วไปปฏิบัติกันในโอกาสต่างๆ ดังนั้น ข้าราชการจึงควรปฏิเสธการรับทันที

นักวิชาการสิทธิมนุษยชนต้องมีจริยธรรมเป็นพิเศษในเรื่องความเป็นกลาง ไม่เลือกปฏิบัติ และไม่แสวงหาผลประโยชน์ส่วนตัว ตามพระราชบัญญัติคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ พ.ศ. 2542 มาตรา 11 ที่ระบุให้คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนต้องปฏิบัติหน้าที่ด้วยความเป็นกลาง ยุติธรรม และไม่เลือกปฏิบัติ ซึ่งนักวิชาการก็ต้องยึดถือเป็นสำคัญ

พ.ร.บ.ข้าราชการพลเรือน พ.ศ.2551 มาตรา 78 ห้ามข้าราชการใช้ตำแหน่งหน้าที่แสวงหาผลประโยชน์สำหรับตนเองหรือผู้อื่น ซึ่งเป็นการขัดต่อจริยธรรมและส่อถึงการทุจริต ข้าราชการต้องปฏิบัติหน้าที่ด้วยความเป็นกลาง ไม่เลือกปฏิบัติ และไม่ใช้ตำแหน่งหน้าที่ไปในทางที่ไม่ถูกต้อง

หลักการสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชนถือเป็นหลักการพื้นฐานที่นักวิชาการสิทธิมนุษยชนต้องให้ความสำคัญ โดยเฉพาะหลักความเสมอภาคและห้ามเลือกปฏิบัติ ซึ่งระบุว่าสิทธิมนุษยชนเป็นสิทธิของทุกคนอย่างเท่าเทียมกันโดยไม่คำนึงถึงความแตกต่างทางเชื้อชาติ ศาสนา เพศ หรือสถานะทางสังคม

รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2560 มาตรา 4 กำหนดให้รัฐต้องคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของบุคคล ซึ่งได้แก่ สิทธิในชีวิตและร่างกาย เสรีภาพในการนับถือศาสนา เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น เป็นต้น สิทธิเหล่านี้เป็นสิทธิขั้นพื้นฐานที่บุคคลพึงได้รับโดยทั่วไป

นักวิชาการสิทธิมนุษยชนปฏิบัติการมีหน้าที่รับผิดชอบในการศึกษา วิเคราะห์ และจัดทำข้อเสนอแนะเพื่อการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชน ตามพระราชบัญญัติคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ พ.ศ. 2542 มาตรา 15 และ 26 รวมทั้งดำเนินการตรวจสอบการละเมิดสิทธิมนุษยชน

ตาม พ.ร.บ.คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ พ.ศ.2542 มาตรา 26 ข้าราชการมีหน้าที่ต้องรายงานการละเมิดสิทธิมนุษยชนต่อคณะกรรมการฯ เพื่อให้ดำเนินการสืบสวนและแก้ไขปัญหา การปิดบังหรือละเลยการรายงานถือเป็นความผิด ส่วนการยื่นเรื่องร้องเรียนโดยตรงจะเป็นการบุกรุกอำนาจหน้าที่

ตามพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ. 2540 มาตรา 9 กำหนดให้เจ้าหน้าที่ของรัฐต้องเปิดเผยข้อมูลข่าวสารที่อยู่ในความรับผิดชอบให้ประชาชนได้รับทราบ เว้นแต่ข้อมูลที่เป็นความลับทางราชการหรือมีเหตุผลอื่นตามที่กฎหมายกำหนด การไม่เปิดเผยข้อมูลโดยไม่มีเหตุผลอันสมควรจึงเป็นการละเมิดสิทธิของสาธารณชน

ตามหลักการปฏิบัติงานตรวจสอบของหน่วยงานภาครัฐ ข้าราชการมีหน้าที่ตรวจสอบเอกสารอย่างรอบคอบ ระมัดระวัง และซื่อสัตย์ เพื่อให้มั่นใจว่าข้อมูลนั้นถูกต้องสมบูรณ์ก่อนนำไปใช้ หากปล่อยให้มีข้อผิดพลาดหรือเอกสารไม่ครบถ้วนจะส่งผลกระทบต่อความน่าเชื่อถือและความเสียหายต่อทางราชการ

ตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 123 กำหนดให้เจ้าหน้าที่ของรัฐมีหน้าที่แจ้งเบาะแสการรับสินบนหรือการทุจริตต่อหน่วยงานที่รับผิดชอบ เพื่อให้มีการตรวจสอบและดำเนินการทางวินัยหรือคดีอาญาต่อไป การเฝ้าสังเกตการณ์หรือรอให้มีผู้อื่นแจ้งเรื่องอาจทำให้ข้อมูลสูญหายหรือคดีขาดประสิทธิภาพ

ตามมาตรา 82 ของพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2551 กำหนดให้ข้าราชการมีหน้าที่ปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบ และคำสั่งของผู้บังคับบัญชา แต่หากคำสั่งนั้นขัดต่อกฎหมาย ข้าราชการควรแจ้งความเห็นเป็นลายลักษณ์อักษรให้ผู้บังคับบัญชาทราบก่อนปฏิบัติ เพื่อป้องกันการกระทำผิดกฎหมาย

ตามพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2551 มาตรา 82 กำหนดให้ข้าราชการที่ถูกกล่าวหาว่ากระทำผิดวินัยมีสิทธิชี้แจงและนำสืบแก้ข้อกล่าวหา เพื่อให้ได้ข้อเท็จจริงอย่างครบถ้วนและยุติธรรม การชี้แจงโดยยอมรับความผิดโดยไม่มีการสืบสวนหรือการมอบหมายให้หน่วยงานอื่นดำเนินการ อาจส่งผลต่อการพิจารณาทางวินัยได้

ตามพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี พ.ศ. 2546 มาตรา 41 กำหนดให้หน่วยงานของรัฐมีหน้าที่ในการรับฟังความคิดเห็น รวมทั้งข้อร้องเรียนของผู้รับบริการหรือประชาชน เพื่อนำไปปรับปรุงการปฏิบัติราชการให้เกิดประสิทธิภาพและประสิทธิผลมากขึ้น การตอบสนองอย่างรวดเร็วและจริงจังจะสร้างความเชื่อมั่นในการปฏิบัติงานของข้าราชการ

ตามประมวลจริยธรรมข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2552 ข้อ 5 ห้ามข้าราชการรับของขวัญหรือประโยชน์อื่นใดจากบุคคลที่เกี่ยวข้องกับงานราชการ เพื่อหลีกเลี่ยงการขัดกันของผลประโยชน์และรักษาความเป็นกลางในการปฏิบัติหน้าที่ การรับเชิญไปงานเลี้ยงอาจถือเป็นการรับประโยชน์จากบุคคลภายนอก ซึ่งจะทำให้เกิดความสงสัยในความเป็นกลางของข้าราชการ

นักวิชาการสิทธิมนุษยชนต้องสืบสวนข้อเท็จจริงอย่างรอบคอบตามหลักการปฏิบัติงานที่กำหนดไว้ในพระราชบัญญัติคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ พ.ศ. 2542 มาตรา 15 เพื่อให้ได้ข้อมูลครบถ้วนและนำเสนอต่อคณะกรรมการพิจารณาด้วยความเป็นกลาง ไม่ควรรีบดำเนินการด้วยตนเอง

ตามพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ.2534 มาตรา 3/1 ข้าราชการมีหน้าที่ต้องให้บริการประชาชนด้วยความรวดเร็ว เป็นธรรม และตอบสนองความต้องการของประชาชน การปฏิบัติงานล่าช้าซ้ำๆ โดยไม่มีเหตุผลอันสมควรถือเป็นการไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย ดังนั้นข้าราชการผู้นั้นควรได้รับการปรับปรุงพฤติกรรมการทำงานให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น

ตาม พ.ร.บ.ข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ.2540 มาตรา 15 ข้าราชการมีหน้าที่ในการรักษาความลับของทางราชการ ห้ามเปิดเผยข้อมูลที่อาจก่อให้เกิดความเสียหายต่อราชการ การรักษาความลับช่วยให้การดำเนินงานของรัฐเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ

ตาม พ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ.2551 มาตรา 78 ข้าราชการจะต้องปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต เสียสละ มุ่งมั่น มีคุณธรรมและจริยธรรม เพื่อประโยชน์สูงสุดของประชาชนและประเทศชาติ การปฏิบัติงานที่มีลักษณะตรงกันข้ามถือเป็นการกระทำผิด

ตาม พ.ร.บ.ระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ.2534 มาตรา 3/1 ข้าราชการจะต้องให้บริการประชาชนด้วยความรวดเร็ว เป็นธรรม และตอบสนองความต้องการของประชาชน การปฏิบัติงานล่าช้าโดยไม่มีเหตุผลอันสมควรจึงเป็นการไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย ซึ่งอาจถูกร้องเรียนได้

ตาม พ.ร.บ.มาตรการของฝ่ายบริหารในการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2551 ข้าราชการมีหน้าที่ต้องให้ความร่วมมือในการตรวจสอบข้อเท็จจริงและอำนวยความสะดวกแก่หน่วยงานที่รับผิดชอบ ไม่ขัดขวางหรือปกปิดข้อมูล การร่วมมือจะช่วยให้การสอบสวนดำเนินไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ตาม ระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการใช้ทรัพย์สินของทางราชการ พ.ศ.2548 ข้าราชการต้องใช้ทรัพย์สินอย่างประหยัด คุ้มค่า และเพื่อประโยชน์ของทางราชการเท่านั้น ห้ามใช้เพื่อประโยชน์ส่วนตัว การใช้ทรัพย์สินเพื่อกิจกรรมอื่นถือเป็นการกระทำผิด

ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองเด็ก พ.ศ. 2546 รัฐมีหน้าที่ในการคุ้มครองสิทธิและส่งเสริมพัฒนาการของเด็กและเยาวชน โดยเฉพาะการเข้าถึงการศึกษา การพัฒนาทักษะชีวิต และการมีส่วนร่วมในกิจกรรมทางสังคม ซึ่งเป็นประเด็นสำคัญที่นักวิชาการต้องให้ความสำคัญ

ตามพระราชบัญญัติผู้สูงอายุ พ.ศ. 2546 รัฐมีหน้าที่ในการคุ้มครองและส่งเสริมสิทธิผู้สูงอายุ โดยเฉพาะการเข้าถึงบริการสาธารณสุข การมีรายได้ที่เพียงพอ และการมีส่วนร่วมในกิจกรรมทางสังคม ซึ่งเป็นประเด็นสำคัญที่นักวิชาการต้องให้ความสำคัญ

ตามพระราชบัญญัติส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ พ.ศ. 2550 รัฐมีหน้าที่ในการส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตของคนพิการอย่างเท่าเทียม โดยเฉพาะการเข้าถึงสิทธิทางสังคม การศึกษา และการมีส่วนร่วมในกิจกรรมทางเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง ซึ่งเป็นประเด็นสำคัญที่นักวิชาการต้องให้ความสำคัญ

ตามพระราชบัญญัติคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ พ.ศ. 2542 นักวิชาการสิทธิมนุษยชนมีหน้าที่ตรวจสอบข้อเท็จจริงอย่างเป็นกลางและรอบคอบ เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมทั้งต่อผู้ถูกร้องเรียนและผู้ร้องเรียน โดยต้องพิจารณาตามหลักความชอบธรรมและสิทธิมนุษยชน

ตามพระราชบัญญัติคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ พ.ศ. 2542 คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติมีอำนาจในการให้ความช่วยเหลือด้านกฎหมายและสวัสดิการแก่ผู้ถูกละเมิดสิทธิที่ยากจน เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมและสามารถเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมได้อย่างแท้จริง

ตามพระราชบัญญัติคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ พ.ศ. 2542 นักวิชาการสิทธิมนุษยชนมีหน้าที่ตรวจสอบและรายงานกรณีการใช้ความรุนแรงของเจ้าหน้าที่รัฐ เพื่อให้เกิดการแก้ไขปัญหาและป้องกันการละเมิดสิทธิมนุษยชน โดยต้องดำเนินการอย่างเป็นกลางและมีหลักฐานอย่างรอบคอบ

ตามพระราชบัญญัติคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ พ.ศ. 2542 กำหนดให้คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนมีอำนาจในการตรวจสอบและรายงานผลการละเมิดสิทธิมนุษยชนของเจ้าหน้าที่รัฐ เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมและคุ้มครองสิทธิของประชาชน ซึ่งเป็นภารกิจสำคัญของนักวิชาการสิทธิมนุษยชน

ตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2561 มาตรา 103 ห้ามเจ้าหน้าที่รับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดจากบุคคลที่เกี่ยวข้องกับหน้าที่ เพื่อรักษาความเป็นกลางและป้องกันการขัดกันของผลประโยชน์ การรับจะถือเป็นการกระทำผิด ส่วนการแจ้งหัวหน้าเป็นเพียงขั้นตอนหนึ่ง

การคุ้มครองสิทธิมนุษยชนของกลุ่มชาติพันธุ์ที่อาศัยในพื้นที่ห่างไกลเป็นภารกิจสำคัญ ตามพระราชบัญญัติคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ พ.ศ. 2542 โดยต้องเคารพในความหลากหลายทางวัฒนธรรม และสนับสนุนให้กลุ่มเหล่านี้สามารถเข้าถึงบริการพื้นฐานของรัฐได้อย่างเท่าเทียม

การละเลยหรือไม่ปฏิบัติตามกฎระเบียบเกี่ยวกับการเก็บรักษาและใช้ข้อมูลอย่างระมัดระวัง ถือเป็นความผิดวินัย ตาม พ.ร.บ.ข้าราชการพลเรือน พ.ศ.2551 มาตรา 85 ซึ่งกำหนดให้ข้าราชการต้องรักษาและใช้ข้อมูลอย่างระมัดระวัง จึงต้องรายงานผู้บังคับบัญชาเพื่อดำเนินการสอบสวนและลงโทษ

ตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2561 มาตรา 128 ห้ามเจ้าหน้าที่ของรัฐรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดจากบุคคลที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติหน้าที่ เพื่อป้องกันการขัดกันของผลประโยชน์ ดังนั้นต้องรายงานผู้บังคับบัญชาและคืนของขวัญ

การใช้ตำแหน่งหน้าที่เพื่อแสวงหาประโยชน์ส่วนตัวเป็นการทุจริตและขัดต่อจริยธรรมข้าราชการ ตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2561 มาตรา 123 ที่ห้ามเจ้าหน้าที่รัฐกระทำการดังกล่าว ต้องรีบรายงานเพื่อดำเนินการทางวินัยและอาญากับผู้กระทำผิด

การเปิดเผยข้อมูลอันเป็นความลับของทางราชการเป็นความผิดวินัยอย่างร้ายแรง ตาม พ.ร.บ.ข้าราชการพลเรือน พ.ศ.2551 มาตรา 85 ข้าราชการมีหน้าที่ต้องรักษาความลับ ดังนั้นจึงต้องรายงานผู้บังคับบัญชาเพื่อสอบสวนและลงโทษอย่างเคร่งครัด

การเลือกปฏิบัติในการให้บริการประชาชนถือเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน ขัดต่อหลักความเสมอภาคและการไม่เลือกปฏิบัติ ตาม พ.ร.บ.คุ้มครองสิทธิและส่งเสริมการใช้สิทธิมนุษยชน พ.ศ.2562 ข้าราชการจึงต้องรายงานเพื่อดำเนินการแก้ไขและป้องกันการเกิดซ้ำ

การทำลายเอกสารราชการก่อนกำหนดถือเป็นความผิดวินัยอย่างร้ายแรง ตาม พ.ร.บ.ข้าราชการพลเรือน พ.ศ.2551 มาตรา 85 ที่ระบุว่าข้าราชการต้องรักษาและใช้ข้อมูลอย่างระมัดระวัง จึงต้องรายงานผู้บังคับบัญชาเพื่อดำเนินการสอบสวนและลงโทษ

การใช้จ่ายงบประมาณไม่เป็นไปตามวัตถุประสงค์ถือเป็นการทุจริตและประพฤติมิชอบ ขัดต่อหลักการบริหารงบประมาณที่ต้องโปร่งใสและตรวจสอบได้ ตาม พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ.2561 ข้าราชการมีหน้าที่ต้องรายงานและดำเนินการแก้ไข

การใช้ตำแหน่งหน้าที่เรียกรับเงินเป็นการทุจริตและประพฤติมิชอบ ขัดต่อ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2561 มาตรา 123 ที่ห้ามเจ้าหน้าที่รัฐแสวงหาประโยชน์จากตำแหน่งหน้าที่ ควรรีบรายงานเพื่อดำเนินการทางวินัยและอาญากับผู้กระทำผิด

ตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2561 มาตรา 128 ห้ามเจ้าหน้าที่ของรัฐรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดจากบุคคลที่ติดต่อเกี่ยวข้องกับการปฏิบัติหน้าที่ เพื่อป้องกันการขัดกันของผลประโยชน์ จึงต้องปฏิเสธการรับ

การคุ้มครองสิทธิมนุษยชนต้องคำนึงถึงความเป็นสากล เสมอภาค และเท่าเทียม ตามหลักการสิทธิมนุษยชนสากล นโยบายและกฎหมายต้องครอบคลุมการป้องกันและแก้ไขปัญหาการละเมิดสิทธิที่อาจเกิดขึ้นในทุกมิติ

ตามข้อบังคับว่าด้วยจรรยาบรรณของข้าราชการ พ.ศ.2537 ข้าราชการควรเข้าร่วมกิจกรรมสันทนาการที่หน่วยงานจัด เพื่อสร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างเพื่อนร่วมงาน และเป็นการผ่อนคลายจากการทำงาน อย่างไรก็ตามต้องรักษาเกียรติและไม่ประพฤติตนเสื่อมเสียชื่อเสียงของหน่วยงาน

ตามระเบียบว่าด้วยการบริจาคทรัพย์สินให้แก่ทางราชการ พ.ศ.2552 ข้าราชการสามารถบริจาคเงินหรือทรัพย์สินให้แก่ทางราชการเพื่อกิจการสาธารณประโยชน์ได้ โดยต้องเป็นไปด้วยความสมัครใจและไม่ได้รับผลตอบแทน อย่างไรก็ตามข้าราชการไม่ควรชักชวนผู้ใต้บังคับบัญชาเข้าร่วมบริจาคด้วย

ตาม พ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ.2551 หมวด 3 การสรรหาและการบรรจุแต่งตั้ง ข้าราชการที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการสรรหาต้องปฏิบัติด้วยความเป็นกลาง โปร่งใส และเท่าเทียม เพื่อคัดเลือกผู้มีความรู้ความสามารถอย่างเหมาะสม

ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยรถราชการ พ.ศ.2523 ข้าราชการมีหน้าที่ต้องใช้รถราชการอย่างประหยัด คุ้มค่า และเพื่อประโยชน์ของทางราชการเท่านั้น ห้ามใช้ในกิจส่วนตัว การใช้นอกเหนือจากนี้จะถือเป็นการกระทำผิด

ตาม พ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ.2551 มาตรา 93 เมื่อได้รับมอบหมายให้ร่วมเป็นคณะกรรมการสอบสวน ข้าราชการมีหน้าที่ต้องให้ความร่วมมือ ตรวจสอบข้อเท็จจริงอย่างเป็นกลาง และนำเสนอผลการสอบสวนอย่างยุติธรรม เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมและรักษาระบบคุณธรรมในราชการ

ตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2561 มาตรา 103 ข้าราชการมีหน้าที่ต้องรักษาผลประโยชน์ของรัฐ หากพบเห็นการใช้ทรัพย์สินราชการเพื่อประโยชน์ส่วนตัว ต้องรายงานหัวหน้างานหรือผู้บังคับบัญชาเพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงและดำเนินการตามระเบียบ

ตาม พ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ.2551 มาตรา 93 เมื่อถูกร้องเรียนเรื่องปฏิบัติหน้าที่ไม่เป็นธรรม ข้าราชการต้องให้ความร่วมมือในการตรวจสอบข้อเท็จจริง และปฏิบัติตามมาตรการที่ผู้บังคับบัญชากำหนด เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมและแก้ไขปัญหา

ข้าราชการต้องปฏิบัติหน้าที่ด้วยความเป็นกลาง ไม่เข้าข้างฝ่ายใด ตามข้อบังคับว่าด้วยจรรยาบรรณของข้าราชการ พ.ศ.2537 หากฝักใฝ่ฝ่ายใดจะส่งผลต่อการตัดสินใจและการให้บริการที่ไม่เป็นธรรม

การใช้อำนาจหน้าที่เพื่อประโยชน์ส่วนตัวขัดต่อ พ.ร.บ.ข้าราชการพลเรือน พ.ศ.2551 มาตรา 79 ที่กำหนดให้ข้าราชการต้องปฏิบัติหน้าที่เพื่อส่วนรวม ไม่แสวงหาผลประโยชน์ส่วนตัว

การเปิดเผยข้อมูลของสำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติให้สาธารณชนรับทราบ ตาม พ.ร.บ.ข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ.2540 เป็นการสร้างความโปร่งใส ตรวจสอบได้ และเสริมสร้างความเชื่อมั่นของประชาชนต่อการปฏิบัติงานของหน่วยงาน รวมทั้งเป็นการเสริมสร้างการมีส่วนร่วมของประชาชน

นักวิชาการสิทธิมนุษยชนมีหน้าที่ส่งเสริมและคุ้มครองความเสมอภาคระหว่างเพศ โดยการให้ความรู้ ตรวจสอบและรายงานกรณีการเลือกปฏิบัติ รวมทั้งเสนอแนะมาตรการแก้ไข ตาม พ.ร.บ.ความเท่าเทียมระหว่างเพศ พ.ศ.2558 และหลักการสิทธิมนุษยชนสากล การละเลยหรือเลือกปฏิบัติจะเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย

ข้าราชการมีหน้าที่รับผิดชอบต่อสังคมในการให้บริการสาธารณะอย่างมีประสิทธิภาพ โปร่งใส และตรวจสอบได้ ดูแลทรัพยากรและสิ่งแวดล้อมให้เกิดประโยชน์สูงสุด และปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต เพื่อประโยชน์ของประชาชนและประเทศชาติ ตาม พ.ร.บ.ระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ.2534

การเข้าร่วมประชุมระหว่างประเทศด้านสิทธิมนุษยชนจะทำให้นักวิชาการได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้ แนวปฏิบัติที่ดี และนำมาพัฒนาการคุ้มครองสิทธิมนุษยชนในประเทศ อีกทั้งยังแสดงถึงความมุ่งมั่นในการเป็นส่วนหนึ่งของประชาคมสิทธิมนุษยชนโลก

สิทธิมนุษยชนเป็นหลักการสำคัญที่ข้าราชการต้องยึดถือตาม รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย เพื่อคุ้มครองและส่งเสริมศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ เสรีภาพ และความเสมอภาค การละเลยหรือเลือกปฏิบัติจะเป็นการฝ่าฝืนกฎหมายและจริยธรรม

ในการคุ้มครองและส่งเสริมสิทธิมนุษยชน นักวิชาการต้องยึดหลักความเสมอภาค ความเป็นกลาง และไม่เลือกปฏิบัติ ตาม พ.ร.บ.คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ พ.ศ.2542 และปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน เพื่อให้การปฏิบัติงานเป็นไปอย่างเป็นธรรม

การประสานงานระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการคุ้มครองสิทธิมนุษยชน ตาม พ.ร.บ.คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ จะทำให้การดำเนินการมีความรวดเร็ว ครอบคลุม และมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยหน่วยงานสามารถแลกเปลี่ยนข้อมูล ร่วมกันแก้ไขปัญหา และติดตามการดำเนินงานได้อย่างต่อเนื่อง

ในการปฏิบัติงาน นักวิชาการต้องมีความเป็นมืออาชีพ เป็นกลาง และให้บริการประชาชนอย่างเท่าเทียมตาม พ.ร.บ.ระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ.2534 การเลือกปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมที่เป็นการกีดกันจะเป็นการละเมิดสิทธิ

ตาม พ.ร.บ.คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ พ.ศ.2542 มาตรา 15 นักวิชาการต้องคุ้มครองและส่งเสริมสิทธิมนุษยชน ตรวจสอบการละเมิด และเสนอแนะมาตรการแก้ไข การละเลยหน้าที่จะถือเป็นความผิด