ท่านมีเวลาทำข้อสอบ 3 ชั่วโมง หมดเวลาทำข้อสอบ นายช่างโยธาปฏิบัติงาน กรมการพัฒนาชุมชน ชุดที่ 1 1 / 100 1. การตรวจสอบและรับรองอาคารต้องดำเนินการทุกกี่ปี 1. 3 ปี 2. 5 ปี 3. 7 ปี 4. 10 ปี ตาม พ.ร.บ.ควบคุมอาคาร กำหนดให้อาคารขนาดใหญ่พิเศษต้องได้รับการตรวจสอบทุก 5 ปี เพื่อรับรองความมั่นคงแข็งแรงและความปลอดภัย 2 / 100 2. การควบคุมการก่อสร้างอาคารต้องดำเนินการตามกฎหมายใด 1. กฎหมายผังเมือง 2. กฎหมายที่ดิน 3. พ.ร.บ.ควบคุมอาคาร 4. พ.ร.บ.โรงงาน พ.ร.บ.ควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 เป็นกฎหมายหลักในการควบคุมการก่อสร้างอาคาร กำหนดมาตรฐานความมั่นคงแข็งแรง ความปลอดภัย และการขออนุญาตก่อสร้าง 3 / 100 3. มาตรฐานการทดสอบวัสดุก่อสร้างส่วนใหญ่อ้างอิงจากมาตรฐานใด 1. JIS 2. ASTM 3. BS 4. DIN มาตรฐาน ASTM (American Society for Testing and Materials) เป็นมาตรฐานหลักที่ใช้อ้างอิงในการทดสอบวัสดุก่อสร้าง เป็นที่ยอมรับในระดับสากล 4 / 100 4. การคำนวณราคากลางงานก่อสร้างใช้หลักเกณฑ์ของหน่วยงานใด 1. กรมบัญชีกลาง 2. สำนักงบประมาณ 3. กระทรวงการคลัง 4. กรมโยธาธิการ กรมบัญชีกลางเป็นผู้กำหนดหลักเกณฑ์การคำนวณราคากลางงานก่อสร้างของทางราชการ รวมถึงการกำหนดค่า Factor F และราคาวัสดุมาตรฐาน 5 / 100 5. การออกแบบโครงสร้างเหล็กใช้มาตรฐานใด 1. AWS D1.1 2. AISC 360 3. ASTM A36 4. JIS G3101 มาตรฐาน AISC 360 เป็นมาตรฐานหลักในการออกแบบโครงสร้างเหล็กรูปพรรณ กำหนดวิธีการออกแบบ การคำนวณ และข้อกำหนดต่างๆ 6 / 100 6. มาตรฐานการทดสอบกำลังอัดคอนกรีตใช้มาตรฐานใด 1. JIS A1108 2. BS 1881 3. ASTM C39 4. DIN 1048 ใช้มาตรฐาน ASTM C39 สำหรับการทดสอบกำลังอัดของแท่งคอนกรีตทรงกระบอก กำหนดวิธีการทดสอบ การเตรียมตัวอย่าง และการรายงานผล 7 / 100 7. การทดสอบความแน่นของดินในสนามใช้วิธีใด 1. Proctor Test 2. Sand Cone Test 3. CBR Test 4. Plate Load Test วิธี Sand Cone Test ตามมาตรฐาน ASTM D1556 เป็นวิธีที่นิยมใช้ในการทดสอบความแน่นของดินในสนาม เนื่องจากมีความแม่นยำและเชื่อถือได้ 8 / 100 8. การควบคุมคุณภาพงานเชื่อมเหล็กต้องดำเนินการตามมาตรฐานใด 1. AWS D1.1 2. AISC 360 3. ASTM A36 4. JIS G3101 มาตรฐาน AWS D1.1 (American Welding Society) เป็นมาตรฐานที่ใช้ควบคุมงานเชื่อมโครงสร้างเหล็ก กำหนดวิธีการเชื่อม การตรวจสอบ และคุณสมบัติช่างเชื่อม 9 / 100 9. ข้อกำหนดในการออกแบบอาคารต้านทานแผ่นดินไหวใช้มาตรฐานใด 1. มยผ.1101 2. มยผ.1201 3. มยผ.1301 4. มยผ.1401 ใช้มาตรฐาน มยผ.1301/1302-61 การออกแบบอาคารต้านทานการสั่นสะเทือนของแผ่นดินไหว กำหนดรายละเอียดการออกแบบโครงสร้างให้รับแรงแผ่นดินไหวได้อย่างปลอดภัย 10 / 100 10. หน่วยงานใดเป็นผู้กำหนดมาตรฐานงานก่อสร้างของทางราชการ 1. กรมทางหลวง 2. กรมโยธาธิการ 3. กรมที่ดิน 4. กระทรวงมหาดไทย กรมโยธาธิการและผังเมือง (ยผ.) เป็นหน่วยงานหลักในการกำหนดมาตรฐานงานก่อสร้างของทางราชการ โดยออกเป็นมาตรฐาน มยผ. ซึ่งใช้เป็นเกณฑ์อ้างอิงในการออกแบบและก่อสร้าง 11 / 100 11. ความกว้างต่ำสุดของรอยต่อคอนกรีตต้องไม่น้อยกว่าเท่าใด 1. 2 ซม. 2. 3 ซม. 3. 4 ซม. 4. 5 ซม. ตามมาตรฐานงานคอนกรีต รอยต่อคอนกรีตต้องกว้างไม่น้อยกว่า 2 ซม. เพื่อให้สามารถเคลื่อนตัวได้และป้องกันการแตกร้าว 12 / 100 12. ระยะห่างสูงสุดของเหล็กปลอกในเสาต้องไม่เกินเท่าใด 1. 10 ซม. 2. 15 ซม. 3. 20 ซม. 4. 25 ซม. ตามมาตรฐานการออกแบบโครงสร้าง ระยะห่างของเหล็กปลอกในเสาต้องไม่เกิน 15 ซม. เพื่อป้องกันการโก่งเดาะของเหล็กเสริมหลัก 13 / 100 13. ความหนาต่ำสุดของผนังก่ออิฐรับน้ำหนักต้องไม่น้อยกว่าเท่าใด 1. 15 ซม. 2. 18 ซม. 3. 20 ซม. 4. 23 ซม. ตามมาตรฐานงานก่ออิฐ ผนังก่ออิฐรับน้ำหนักต้องหนาไม่น้อยกว่า 20 ซม. เพื่อให้มีความแข็งแรงเพียงพอในการรับน้ำหนักและแรงด้านข้าง 14 / 100 14. ระยะฝังของเสาเข็มในชั้นดินแข็งต้องไม่น้อยกว่าเท่าใด 1. 2 เมตร 2. 3 เมตร 3. 4 เมตร 4. 5 เมตร ตามมาตรฐานการออกแบบฐานราก เสาเข็มต้องฝังในชั้นดินแข็งไม่น้อยกว่า 3 เมตร เพื่อให้มีความสามารถในการรับน้ำหนักที่เพียงพอ 15 / 100 15. ความลาดเอียงต่ำสุดของท่อระบายน้ำต้องไม่น้อยกว่าเท่าใด 1. 2:40 2. 3:30 3. 4:20 4. 5:10 ตามมาตรฐานงานระบบระบายน้ำ ท่อระบายน้ำต้องมีความลาดเอียงไม่น้อยกว่า 1:200 เพื่อให้น้ำไหลได้สะดวกและป้องกันการตกตะกอน 16 / 100 16. การเก็บตัวอย่างคอนกรีตเพื่อทดสอบกำลังอัดต้องเก็บทุกๆ กี่ลูกบาศก์เมตร 1. 30 ลบ.ม. 2. 50 ลบ.ม. 3. 70 ลบ.ม. 4. 100 ลบ.ม. ตามมาตรฐานการควบคุมงานคอนกรีต ต้องเก็บตัวอย่างทดสอบทุก 50 ลบ.ม. หรือทุกวันที่มีการเทคอนกรีต เพื่อควบคุมคุณภาพให้เป็นไปตามข้อกำหนด 17 / 100 17. ความหนาต่ำสุดของแผ่นพื้นคอนกรีตเสริมเหล็กต้องไม่น้อยกว่าเท่าใด 1. 10 ซม. 2. 12 ซม. 3. 15 ซม. 4. 20 ซม. ตามมาตรฐานการออกแบบ แผ่นพื้นคอนกรีตเสริมเหล็กต้องหนาไม่น้อยกว่า 10 ซม. เพื่อให้มีความแข็งแรงและป้องกันการแอ่นตัวมากเกินไป 18 / 100 18. ระยะหุ้มเหล็กเสริมในคานคอนกรีตต้องไม่น้อยกว่าเท่าใด 1. 2.5 ซม. 2. 3.0 ซม. 3. 3.5 ซม. 4. 4.0 ซม. ตามมาตรฐาน มยผ.1103 ระยะหุ้มเหล็กเสริมในคานต้องไม่น้อยกว่า 3 ซม. เพื่อป้องกันการเกิดสนิมในเหล็กเสริมและการแตกร้าวของคอนกรีต 19 / 100 19. อัตราส่วนปูนซีเมนต์ต่อน้ำในคอนกรีตโครงสร้างต้องไม่เกินเท่าใด 1. 0.6 2. 0.65 3. 0.5 4. 0.55 ตามมาตรฐานการออกแบบคอนกรีต อัตราส่วนน้ำต่อซีเมนต์ (w/c) ต้องไม่เกิน 0.55 เพื่อควบคุมกำลังอัด ความทึบน้ำ และความคงทนของคอนกรีต 20 / 100 20. กำลังอัดต่ำสุดของคอนกรีตโครงสร้างทั่วไปต้องไม่น้อยกว่าเท่าใด 1. 180 กก./ตร.ซม. 2. 210 กก./ตร.ซม. 3. 240 กก./ตร.ซม. 4. 280 กก./ตร.ซม. ตามมาตรฐาน มยผ.1101 กำหนดให้คอนกรีตโครงสร้างทั่วไปต้องมีกำลังอัดที่อายุ 28 วันไม่น้อยกว่า 240 กก./ตร.ซม. เพื่อให้โครงสร้างมีความแข็งแรงและทนทานเพียงพอ 21 / 100 21. แสงสว่างในพื้นที่ก่อสร้างต้องมีความเข้มไม่น้อยกว่ากี่ลักซ์ 1. 50 ลักซ์ 2. 75 ลักซ์ 3. 100 ลักซ์ 4. 150 ลักซ์ แสงสว่างในพื้นที่ทำงานทั่วไปต้องไม่น้อยกว่า 100 ลักซ์ เพื่อให้มองเห็นสภาพการทำงานและอันตรายที่อาจเกิดขึ้นได้ชัดเจน 22 / 100 22. การสวมใส่เข็มขัดนิรภัยจำเป็นเมื่อทำงานที่ความสูงเท่าใด 1. 2 เมตร 2. 4 เมตร 3. 6 เมตร 4. 8 เมตร ต้องสวมใส่เข็มขัดนิรภัยเมื่อทำงานที่ความสูงตั้งแต่ 4 เมตรขึ้นไป และต้องมีจุดยึดเข็มขัดที่แข็งแรง สามารถรับแรงกระชากได้ไม่น้อยกว่า 1,150 กก. 23 / 100 23. ความกว้างของทางเดินชั่วคราวในงานก่อสร้างต้องไม่น้อยกว่าเท่าใด 1. 60 ซม. 2. 75 ซม. 3. 90 ซม. 4. 100 ซม. ทางเดินชั่วคราวต้องกว้างไม่น้อยกว่า 60 ซม. และมีราวกันตกทั้งสองด้าน เพื่อความปลอดภัยในการสัญจรของคนงาน 24 / 100 24. การกองวัสดุบนพื้นชั่วคราวต้องห่างจากขอบอาคารเท่าใด 1. 1.0 เมตร 2. 1.5 เมตร 3. 2.0 เมตร 4. 2.5 เมตร ต้องกองห่างจากขอบอาคารไม่น้อยกว่า 1.5 เมตร เพื่อป้องกันการพังทลาย และให้มีพื้นที่ทางเดินปลอดภัย ไม่กีดขวางเส้นทางหนีไฟ 25 / 100 25. ป้ายเตือนอันตรายในงานก่อสร้างต้องมีขนาดตัวอักษรไม่น้อยกว่าเท่าใด 1. 10 ซม. 2. 15 ซม. 3. 20 ซม. 4. 25 ซม. ตัวอักษรต้องสูงไม่น้อยกว่า 15 ซม. เพื่อให้มองเห็นได้ชัดเจนในระยะไม่น้อยกว่า 15 เมตร โดยใช้สีที่ตัดกันชัดเจนระหว่างพื้นป้ายและตัวอักษร 26 / 100 26. ถังดับเพลิงในพื้นที่ก่อสร้างต้องติดตั้งห่างกันไม่เกินกี่เมตร 1. 10 เมตร 2. 15 เมตร 3. 20 เมตร 4. 25 เมตร ถังดับเพลิงต้องติดตั้งห่างกันไม่เกิน 20 เมตร เพื่อให้สามารถเข้าถึงได้ทันทีเมื่อเกิดเหตุเพลิงไหม้ โดยต้องมีขนาดไม่น้อยกว่า 4 กก. 27 / 100 27. การตรวจสอบลิฟต์ขนส่งวัสดุในงานก่อสร้างต้องทำทุกกี่เดือน 1. 2 เดือน 2. 3 เดือน 3. 4 เดือน 4. 6 เดือน ต้องตรวจสอบทุก 3 เดือน โดยวิศวกรผู้ชำนาญ ตรวจสอบ: 1.สภาพโครงสร้าง 2.ระบบเบรก 3.ระบบไฟฟ้า 4.อุปกรณ์นิรภัย 28 / 100 28. ขนาดของไม้กระดานทางเดินบนนั่งร้านต้องหนาไม่น้อยกว่าเท่าใด 1. 2.0 ซม. 2. 2.5 ซม. 3. 3.0 ซม. 4. 3.5 ซม. ไม้กระดานต้องหนาไม่น้อยกว่า 2.5 ซม. กว้างไม่น้อยกว่า 20 ซม. เพื่อรับน้ำหนักคนและวัสดุได้อย่างปลอดภัย ไม่แอ่นตัวหรือหักเมื่อใช้งาน 29 / 100 29. อุปกรณ์ป้องกันการตกจากที่สูงต้องติดตั้งที่ความสูงเท่าใด 1. 2 เมตร 2. 3 เมตร 3. 4 เมตร 4. 5 เมตร ต้องติดตั้งที่ความสูงตั้งแต่ 2 เมตรขึ้นไป ประกอบด้วย: 1.ราวกันตก 2.ตาข่ายนิรภัย 3.เข็มขัดนิรภัย เพื่อป้องกันอันตรายจากการตกจากที่สูง 30 / 100 30. การตั้งนั่งร้านสูงเกินกี่เมตรต้องมีการคำนวณออกแบบโดยวิศวกร 1. 15 เมตร 2. 18 เมตร 3. 21 เมตร 4. 24 เมตร ตามกฎกระทรวงกำหนดมาตรฐานความปลอดภัยฯ นั่งร้านที่สูงเกิน 21 เมตร ต้องมีการคำนวณออกแบบโดยวิศวกร เพื่อความมั่นคงแข็งแรงและความปลอดภัยในการใช้งาน 31 / 100 31. ความถี่ในการตรวจสอบการทรุดตัวของอาคารควรทำทุกกี่เดือน 1. 3 เดือน 2. 6 เดือน 3. 9 เดือน 4. 12 เดือน ควรตรวจสอบทุก 6 เดือน เพื่อติดตามการทรุดตัว โดยเฉพาะในช่วงแรกของการใช้งานอาคาร และในพื้นที่ที่ดินมีการเปลี่ยนแปลง 32 / 100 32. การซ่อมแซมเสาคอนกรีตที่มีการแตกร้าวรุนแรงควรทำอย่างไร 1. ใช้ Steel Jacket 2. ฉาบซ่อมผิว 3. ฉีดอีพ็อกซี่ 4. เทคอนกรีตใหม่ ต้องเสริมกำลังด้วย Steel Jacket เพราะ: 1.เพิ่มกำลังรับแรง 2.ป้องกันการแตกร้ายเพิ่ม 3.ควบคุมการขยายตัว 4.ติดตั้งง่าย 33 / 100 33. อาการที่แสดงว่าเหล็กเสริมในคอนกรีตเกิดสนิมคือข้อใด 1. รอยแตก 2. คราบสนิม 3. การหลุดร่อน 4. ทุกข้อที่กล่าวมา เมื่อเหล็กเสริมเป็นสนิมจะเกิด: 1.รอยแตกตามแนวเหล็ก 2.คราบสนิมไหล 3.คอนกรีตหลุดร่อน 4.การบวมปูด เนื่องจากสนิมมีปริมาตรมากกว่าเหล็ก 34 / 100 34. การซ่อมผิวคอนกรีตที่หลุดร่อนควรสกัดลึกอย่างน้อยเท่าใด 1. 3 ซม. 2. 5 ซม. 3. 7 ซม. 4. 10 ซม. ควรสกัดลึกอย่างน้อย 5 ซม. เพื่อให้วัสดุซ่อมแซมยึดเกาะได้ดี และป้องกันการหลุดร่อนซ้ำ โดยต้องทำความสะอาดและทารองพื้นก่อนซ่อม 35 / 100 35. วัสดุที่เหมาะสมสำหรับอุดรอยต่อถนนคอนกรีตคือชนิดใด 1. ยางมะตอย 2. ซิลิโคน 3. โพลียูรีเทน 4. อีพ็อกซี่ วัสดุประเภทโพลียูรีเทนเหมาะสมที่สุด เพราะ: 1.ยืดหยุ่นดี 2.ทนทานต่อสภาพอากาศ 3.ยึดเกาะดี 4.อายุการใช้งานยาวนาน 36 / 100 36. ระยะเวลาในการบำรุงรักษาผิวถนนคอนกรีตควรทำทุกกี่ปี 1. 2 ปี 2. 3 ปี 3. 4 ปี 4. 5 ปี ผิวถนนคอนกรีตควรได้รับการบำรุงรักษาทุก 2 ปี เพื่อซ่อมแซมรอยแตก อุดรอยต่อ และป้องกันน้ำซึม ยืดอายุการใช้งานของถนน 37 / 100 37. การทดสอบกำลังอัดคอนกรีตในโครงสร้างเก่าใช้วิธีใด 1. เจาะแท่งตัวอย่าง 2. ค้อนทดสอบ 3. คลื่นอัลตร้าซาวด์ 4. การแซนด์ การทดสอบแบบไม่ทำลาย (NDT) ด้วยค้อนทดสอบคอนกรีต (Rebound Hammer) เป็นวิธีที่สะดวก รวดเร็ว และไม่ทำลายโครงสร้าง เหมาะสำหรับการประเมินเบื้องต้น 38 / 100 38. การตรวจสอบการเสื่อมสภาพของคอนกรีตควรทำทุกกี่ปี 1. 3 ปี 2. 4 ปี 3. 5 ปี 4. 6 ปี ควรตรวจสอบทุก 5 ปี เพื่อประเมินสภาพโครงสร้าง วางแผนซ่อมบำรุง และป้องกันความเสียหายที่อาจลุกลาม ตามมาตรฐานการบำรุงรักษาอาคาร 39 / 100 39. วิธีการซ่อมแซมรอยแตกร้าวในคอนกรีตที่เหมาะสมที่สุดคือวิธีใด 1. ฉีดอีพ็อกซี่ 2. อุดด้วยซีเมนต์ 3. ทาเคลือบผิว 4. เสริมแผ่นเหล็ก การฉีดอีพ็อกซี่เป็นวิธีที่เหมาะสมที่สุด เพราะ: 1.สามารถแทรกซึมลึก 2.มีกำลังยึดเกาะสูง 3.ป้องกันการรั่วซึม 4.ไม่หดตัว 40 / 100 40. รอยแตกร้าวในคานคอนกรีตที่ต้องซ่อมแซมทันทีมีขนาดเท่าใด 1. 0.2 มม. 2. 0.3 มม. 3. 0.4 มม. 4. 0.5 มม. ตามมาตรฐาน ACI 224R รอยแตกที่กว้างเกิน 0.3 มม. ต้องซ่อมแซมทันที เพราะอาจทำให้เหล็กเสริมเกิดสนิม และลดความแข็งแรงของโครงสร้าง 41 / 100 41. ความคลาดเคลื่อนที่ยอมให้ในงานระดับชั้น 3 คือเท่าใด 1. ±8√K มม. 2. ±10√K มม. 3. ±12√K มม. 4. ±15√K มม. งานระดับชั้น 3 ยอมให้มีความคลาดเคลื่อนไม่เกิน ±12√K มิลลิเมตร (K=ระยะทางเป็น กม.) ใช้สำหรับงานก่อสร้างทั่วไป เช่น อาคาร ถนน 42 / 100 42. การรังวัดมุมดิ่งด้วยกล้องธีโอโดไลท์ต้องวัดในตำแหน่งกล้องใดบ้าง 1. ซ้ายอย่างเดียว 2. ซ้ายและขวา 3. ขวาอย่างเดียว 4. กลางอย่างเดียว ต้องวัดในตำแหน่งกล้องซ้าย (L) และขวา (R) แล้วใช้ค่าเฉลี่ย เพื่อกำจัดความคลาดเคลื่อนจากการตั้งศูนย์ดิ่งของกล้อง (Index Error) 43 / 100 43. เส้นชั้นความสูงที่ใช้ในงานออกแบบถนนควรมีช่วงห่างเท่าใด 1. 0.5-1.0 เมตร 2. 1.0-2.0 เมตร 3. 2.0-3.0 เมตร 4. 3.0-4.0 เมตร เส้นชั้นความสูงสำหรับงานถนนควรมีช่วงห่าง 0.5-1.0 เมตร เพื่อให้สามารถออกแบบระดับและความลาดชันของถนนได้อย่างเหมาะสม แสดงรายละเอียดภูมิประเทศได้ชัดเจน 44 / 100 44. การหาพื้นที่ด้วยวิธี Grid Method ควรแบ่งช่องตารางขนาดเท่าใด 1. 5×5 เมตร 2. 10×10 เมตร 3. 15×15 เมตร 4. 20×20 เมตร การแบ่งช่องตาราง 10×10 เมตร เป็นขนาดที่เหมาะสมสำหรับงานทั่วไป เพราะให้ความละเอียดเพียงพอในการคำนวณพื้นที่และปริมาตรงานดิน แต่ไม่มากเกินไปจนทำงานช้า 45 / 100 45. การทำระดับตรวจสอบการทรุดตัวของอาคารควรใช้หมุดอ้างอิงห่างจากอาคารเท่าใด 1. 30 เมตร 2. 40 เมตร 3. 50 เมตร 4. 60 เมตร ควรตั้งหมุดอ้างอิงห่างจากอาคารอย่างน้อย 50 เมตร เพื่อให้พ้นจากอิทธิพลการทรุดตัวของอาคาร และต้องเป็นตำแหน่งที่มั่นคง ไม่มีการเคลื่อนตัวของดิน 46 / 100 46. การรังวัดระยะทางด้วย EDM ต้องปรับแก้ค่าอะไรบ้าง 1. ความกดอากาศ 2. อุณหภูมิ 3. ความชื้น 4. ทั้ง 3 ปัจจัย การรังวัดด้วย EDM ต้องปรับแก้: 1.ค่าความกดอากาศ 2.อุณหภูมิ 3.ความชื้น เนื่องจากปัจจัยเหล่านี้มีผลต่อความเร็วคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่ใช้วัดระยะ 47 / 100 47. หมุดหลักฐานชั้น 2 ต้องมีค่าความคลาดเคลื่อนทางราบไม่เกินเท่าใด 1. 1:10,000 2. 1:20,000 3. 1:30,000 4. 1:40,000 ตามมาตรฐานงานสำรวจ หมุดหลักฐานชั้น 2 ต้องมีค่าความคลาดเคลื่อนทางราบไม่เกิน 1:20,000 ของระยะทาง เพื่อใช้ในงานที่ต้องการความละเอียดสูง เช่น งานวางแนวถนน 48 / 100 48. การวางผังอาคารด้วยเทปวัดระยะ ควรตรวจสอบความฉากด้วยวิธีใด 1. วิธี 3-4-5 2. วิธีเส้นทแยงมุม 3. วิธีครึ่งวงกลม 4. วิธีสามเหลี่ยม วิธี 3-4-5 เป็นวิธีตรวจสอบความฉากที่นิยมใช้ในงานวางผัง โดยใช้หลักทฤษฎีพีทาโกรัส วัดด้านประกอบมุมฉากให้ได้สัดส่วน 3:4:5 หน่วยเท่ากัน จะได้มุมฉาก 90 องศา 49 / 100 49. การวัดมุมราบด้วยกล้องธีโอโดไลท์ ควรวัดกี่รอบเพื่อความแม่นยำ 1. 1 รอบ 2. 2 รอบ 3. 3 รอบ 4. 4 รอบ การวัดมุมราบควรวัดอย่างน้อย 2 รอบ (วัดซ้ำ) และใช้ค่าเฉลี่ย เพื่อลดความคลาดเคลื่อนจากการอ่านค่า การตั้งกล้อง และสภาพแวดล้อม วิธีนี้เป็นมาตรฐานงานสำรวจชั้น 3 50 / 100 50. การหาค่าระดับด้วยกล้องระดับ ควรตั้งกล้องที่ระยะห่างจากไม้แบบใด 1. 10-20 เมตร 2. 20-30 เมตร 3. 30-50 เมตร 4. 50-70 เมตร การตั้งกล้องระดับควรอยู่กึ่งกลางระหว่างหมุดหน้า-หลัง เพื่อลดความคลาดเคลื่อนจากความโค้งของโลกและการหักเหของแสง โดยระยะห่างที่เหมาะสมคือ 30-50 เมตร 51 / 100 51. การคำนวณน้ำหนักบรรทุกลมต้องพิจารณาปัจจัยใดบ้าง 1. ทุกปัจจัยข้างต้น 2. เฉพาะความเร็วลม 3. เฉพาะความสูง 4. ความเร็วและรูปร่าง การคำนวณน้ำหนักลมต้องพิจารณา: 1.ความเร็วลมพื้นฐาน 2.สัมประสิทธิ์ภูมิประเทศ 3.ความสูงอาคาร 4.รูปร่างอาคาร 5.ช่วงเวลาการรับลม ตามมาตรฐาน มยผ.1311-50 52 / 100 52. เหล็กลูกตั้งในผนังรับแรงต้องมีระยะห่างไม่เกินกี่เท่าของความหนาผนัง 1. 2 เท่า 2. 2.5 เท่า 3. 3 เท่า 4. 3.5 เท่า ตามมาตรฐานการออกแบบ เหล็กลูกตั้งในผนังรับแรงต้องมีระยะห่างไม่เกิน 3 เท่าของความหนาผนัง เพื่อควบคุมการแตกร้าวและให้การกระจายแรงเป็นไปอย่างสม่ำเสมอ 53 / 100 53. การออกแบบฐานรากต้องพิจารณาการรับน้ำหนักในกรณีใดบ้าง 1. เฉพาะน้ำหนัก 2. น้ำหนักและทรุดตัว 3. เสถียรภาพ 4. ทุกกรณี การออกแบบฐานรากต้องพิจารณา: 1.กำลังรับน้ำหนักของดิน 2.การทรุดตัว 3.การพลิกคว่ำ 4.การเลื่อนไถล 5.กำลังของโครงสร้างฐานราก เพื่อให้ฐานรากมีเสถียรภาพและความปลอดภัย 54 / 100 54. โมเมนต์ดัดสูงสุดในคานยื่นเกิดที่ตำแหน่งใด 1. ปลายคาน 2. จุดรองรับ 3. กลางคาน 4. จุดใดๆ โมเมนต์ดัดสูงสุดในคานยื่นเกิดที่จุดรองรับ เนื่องจากเป็นจุดที่มีระยะห่างจากน้ำหนักบรรทุกมากที่สุด ตามหลักสมดุลของโมเมนต์ในคานยื่น โดยมีค่าเป็นลบ (negative moment) 55 / 100 55. ความยาวของเหล็กเสริมที่งอขอในคานต้องไม่น้อยกว่ากี่เท่าของเส้นผ่านศูนย์กลางเหล็ก 1. 8 เท่า 2. 12 เท่า 3. 16 เท่า 4. 20 เท่า ตามมาตรฐาน ACI 318 ความยาวงอขอของเหล็กเสริมต้องไม่น้อยกว่า 12 เท่าของเส้นผ่านศูนย์กลางเหล็ก เพื่อให้เกิดการยึดเหนี่ยวที่เพียงพอและป้องกันการลื่นไถล 56 / 100 56. การเสริมเหล็กในเสาคอนกรีตต้องมีพื้นที่หน้าตัดไม่น้อยกว่ากี่เปอร์เซ็นต์ของพื้นที่หน้าตัดเสา 1. 1% 2. 2% 3. 3% 4. 4% ตามมาตรฐาน ACI 318 กำหนดให้เสาคอนกรีตเสริมเหล็กต้องมีพื้นที่เหล็กเสริมไม่น้อยกว่า 1% และไม่เกิน 8% ของพื้นที่หน้าตัดเสา เพื่อป้องกันการวิบัติแบบเปราะและการแตกร้าวจากการหดตัว 57 / 100 57. แรงเฉือนในคานคอนกรีตเสริมเหล็กรับโดยส่วนใด 1. คอนกรีต 2. เหล็กปลอก 3. เหล็กเสริมหลัก 4. ทุกส่วนร่วมกัน แรงเฉือนในคานรับโดย: 1.คอนกรีตในส่วนที่ไม่แตกร้าว (Vc) 2.เหล็กปลอก (Vs) 3.แรงยึดเหนี่ยวระหว่างคอนกรีตกับเหล็กเสริม (Dowel action) โดยเหล็กปลอกมีบทบาทสำคัญที่สุดในการรับแรงเฉือน 58 / 100 58. การกำหนดระยะคอนกรีตหุ้มเหล็กขึ้นอยู่กับปัจจัยใดบ้าง 1. สภาพแวดล้อม 2. ชนิดโครงสร้าง 3. ขนาดเหล็ก 4. ทุกปัจจัยข้างต้น ระยะคอนกรีตหุ้มเหล็กขึ้นอยู่กับ: 1.สภาพแวดล้อม (ความรุนแรงของการกัดกร่อน) 2.ชนิดของชิ้นส่วนโครงสร้าง 3.กำลังของคอนกรีต 4.ขนาดของเหล็กเสริม 5.การทนไฟ 59 / 100 59. เหล็กเสริมในคานรับแรงดึงต้องวางอยู่ส่วนใดของหน้าตัด 1. ด้านบน 2. ตรงกลาง 3. ด้านล่าง 4. ทั้งบนและล่าง เหล็กเสริมรับแรงดึงในคานต้องวางที่ด้านล่างของหน้าตัด เนื่องจากคานเมื่อรับน้ำหนักจะเกิดการดัด ทำให้เกิดหน่วยแรงอัดที่ด้านบนและหน่วยแรงดึงที่ด้านล่าง เหล็กเสริมจึงต้องวางในตำแหน่งที่เกิดแรงดึง 60 / 100 60. น้ำหนักบรรทุกจรสำหรับอาคารพักอาศัยตามมาตรฐานกำหนดเท่าใด 1. 150 กก./ตร.ม. 2. 200 กก./ตร.ม. 3. 250 กก./ตร.ม. 4. 300 กก./ตร.ม. ตามมาตรฐานการออกแบบอาคารเพื่อต้านทานแผ่นดินไหว มยผ.1301/1302-61 กำหนดน้ำหนักบรรทุกจรสำหรับอาคารพักอาศัยไว้ที่ 200 กก./ตร.ม. เพื่อรองรับการใช้งานทั่วไปของผู้อยู่อาศัย 61 / 100 61. การตรวจรับงานฐานรากต้องตรวจสอบอะไรบ้าง 1. เฉพาะขนาด 2. ขนาดและเหล็ก 3. เฉพาะโครงสร้าง 4. ครบทุกรายการ ต้องตรวจสอบ: 1.ขนาดและระดับฐานราก 2.การวางเหล็กเสริม 3.คุณภาพคอนกรีต 4.ระยะหุ้มเหล็ก 5.ความแน่นของดินใต้ฐานราก 6.ระดับน้ำใต้ดิน 62 / 100 62. การตรวจสอบแนวดิ่งของเสาคอนกรีตใช้เครื่องมือใด 1. ระดับน้ำ 2. ลูกดิ่งและระดับน้ำ 3. กล้องระดับ 4. กล้องวัดมุม ใช้ลูกดิ่งและระดับน้ำ 2 จุดตั้งฉากกัน เพื่อตรวจสอบความดิ่งของเสาในแนวทั้งสองด้าน โดยค่าความคลาดเคลื่อนที่ยอมให้ไม่เกิน h/750 เมื่อ h คือความสูงเสา 63 / 100 63. เอกสารสำคัญที่ต้องจัดทำในการควบคุมงานก่อสร้างมีอะไรบ้าง 1. เฉพาะข้อ 1-2 2. เฉพาะข้อ 1-3 3. ครบทั้ง 5 ข้อ 4. เฉพาะข้อ 1-4 เอกสารสำคัญประกอบด้วย: 1.บันทึกการปฏิบัติงานประจำวัน 2.บันทึกการตรวจรับวัสดุ 3.รายงานผลทดสอบวัสดุ 4.ภาพถ่ายงานก่อสร้าง 5.หนังสือโต้ตอบต่างๆ 64 / 100 64. การตรวจสอบคุณภาพคอนกรีตผสมเสร็จ ณ หน่วยงานต้องทำอะไรบ้าง 1. เวลาเท่านั้น 2. ค่ายุบตัวเท่านั้น 3. เวลาและค่ายุบตัว 4. ตรวจสอบทั้ง 5 ข้อ ต้องตรวจสอบ: 1.เวลาที่ออกจากโรงงาน 2.ค่าการยุบตัว 3.อุณหภูมิคอนกรีต 4.ลักษณะการผสม 5.เก็บตัวอย่างทดสอบกำลังอัด เพื่อควบคุมคุณภาพให้เป็นไปตามข้อกำหนด 65 / 100 65. ในการควบคุมงานก่อสร้าง การตรวจสอบการวางเหล็กเสริมต้องทำเมื่อใด 1. ก่อนเทคอนกรีต 2. หลังติดตั้งแบบ 3. ระหว่างผูกเหล็ก 4. หลังเทคอนกรีต ต้องตรวจสอบก่อนเทคอนกรีตทุกครั้ง เพื่อยืนยันความถูกต้องของ: 1.ขนาดและจำนวนเหล็ก 2.ระยะเรียงและระยะห่าง 3.การผูกเหล็กและทาบต่อ 4.ระยะคอนกรีตหุ้มเหล็ก 66 / 100 66. การคิดค่าแรงงานในการติดตั้งแบบหล่อคอนกรีตคิดอย่างไร 1. คิดตามพื้นที่ผิว 2. คิดตามปริมาตร 3. คิดตามน้ำหนัก 4. คิดเหมารวม การคิดค่าแรงติดตั้งแบบหล่อคิดตามพื้นที่ผิวของแบบ (ตร.ม.) โดยอัตรามาตรฐานกรมบัญชีกลางกำหนดไว้สำหรับงานแบบหล่อทั่วไป 133 บาท/ตร.ม. 67 / 100 67. อัตราการทำงานของแรงงานในการผูกเหล็กเสริมโดยเฉลี่ยเท่าไรต่อวัน 1. 200 กก./วัน 2. 250 กก./วัน 3. 300 กก./วัน 4. 350 กก./วัน อัตราการผูกเหล็กเสริมโดยเฉลี่ยของช่างผูกเหล็ก 1 คนทำได้ประมาณ 250 กก./วัน สำหรับงานทั่วไป ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความซับซ้อนของงานและขนาดของเหล็ก 68 / 100 68. การคิดปริมาณคอนกรีตในงานเสาต้องบวกเพิ่มสำหรับการสูญเสียกี่เปอร์เซ็นต์ 1. 5% 2. 10% 3. 15% 4. 20% การคำนวณปริมาณคอนกรีตในงานเสาต้องบวกเพิ่ม 10% เพื่อชดเชยการสูญเสียจากการเท การกระเด็น และการเหลือค้างในรถผสม ซึ่งเป็นค่าที่ยอมรับในทางปฏิบัติ 69 / 100 69. การคิดปริมาณเหล็กเสริมในงานคอนกรีตเสริมเหล็กต้องบวกเพิ่มสำหรับทาบต่อกี่เปอร์เซ็นต์ 1. 5% 2. 6% 3. 7% 4. 8% การคำนวณปริมาณเหล็กเสริมต้องบวกเพิ่ม 7% สำหรับการทาบต่อ การงอปลาย และการสูญเสียจากการตัด เพื่อให้ได้ปริมาณวัสดุที่ใกล้เคียงความเป็นจริงในการก่อสร้าง 70 / 100 70. การประมาณราคางานคอนกรีตเสริมเหล็กควรมีค่า Factor F เท่าใด 1. 1.2 2. 1.3007 3. 1.4 4. 1.5 ตามหลักเกณฑ์การคำนวณราคากลางงานก่อสร้างของทางราชการ งานอาคารทั่วไปที่มีมูลค่างาน 5-10 ล้านบาทใช้ค่า Factor F = 1.3007 ซึ่งครอบคลุมค่าดำเนินการ กำไร ภาษี และเงินประกันผลงาน 71 / 100 71. วัสดุมวลรวมหยาบที่ใช้ในงานคอนกรีตต้องมีค่าการสึกหรอไม่เกินกี่เปอร์เซ็นต์ 1. 25% 2. 30% 3. 35% 4. 40% ตามมาตรฐาน ASTM C33 วัสดุมวลรวมหยาบที่ใช้ในงานคอนกรีตต้องมีค่าการสึกหรอจากการทดสอบ Los Angeles Abrasion Test ไม่เกิน 40% เพื่อให้มีความแข็งแรงและทนทานเพียงพอ 72 / 100 72. การทดสอบการรับน้ำหนักของดินด้วยวิธี Plate Bearing Test ใช้แผ่นเหล็กขนาดเท่าใด 1. 25 ซม. 2. 30 ซม. 3. 35 ซม. 4. 40 ซม. การทดสอบ Plate Bearing Test ตามมาตรฐาน ASTM D1194 ใช้แผ่นเหล็กขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 30 ซม. เพื่อจำลองการรับน้ำหนักของฐานราก และคำนวณค่าความสามารถในการรับน้ำหนักของดิน 73 / 100 73. การทดสอบกำลังรับแรงดึงของเหล็กเสริมต้องดึงจนขาดหรือไม่ 1. ต้องดึงจนขาด 2. ดึงถึงจุดคราก 3. ดึง 75% ของกำลัง 4. ดึง 50% ของกำลัง การทดสอบแรงดึงเหล็กเสริมตามมาตรฐาน ASTM A615 ต้องดึงจนขาด เพื่อหาค่า: 1.กำลังที่จุดคราก 2.กำลังดึงประลัย 3.เปอร์เซ็นต์การยืดตัว 4.ลักษณะการขาด ซึ่งเป็นคุณสมบัติสำคัญในการออกแบบ 74 / 100 74. ปูนซีเมนต์ปอร์ตแลนด์ประเภท 1 เหมาะกับงานประเภทใด 1. งานโครงสร้างทั่วไป 2. งานทนซัลเฟต 3. งานความร้อนต่ำ 4. งานกำลังเร็ว ปูนซีเมนต์ปอร์ตแลนด์ประเภท 1 ตามมาตรฐาน ASTM C150 เหมาะกับงานคอนกรีตทั่วไปที่ไม่ต้องการคุณสมบัติพิเศษ เช่น อาคาร ถนน สะพาน เนื่องจากมีการพัฒนากำลังอัดปกติและราคาประหยัด 75 / 100 75. การทดสอบหาค่าการสึกหรอของหินใช้วิธีใด 1. Sieve Analysis 2. Impact Test 3. Los Angeles Test 4. Crushing Test การทดสอบการสึกหรอของหินใช้วิธี Los Angeles Abrasion Test ตามมาตรฐาน ASTM C131 โดยใส่ตัวอย่างหินและลูกเหล็กในเครื่องทดสอบ หมุน 500 รอบ แล้วหาเปอร์เซ็นต์การสึกหรอ 76 / 100 76. วิธีการหาค่าความถ่วงจำเพาะของทรายทำอย่างไร 1. Pycnometer Method 2. Sieve Analysis 3. Los Angeles Test 4. Compression Test การหาค่าความถ่วงจำเพาะของทรายใช้วิธี Pycnometer Method ตามมาตรฐาน ASTM C128 โดยมีขั้นตอน: 1.อบทรายให้แห้ง 2.แช่น้ำ 24 ชม. 3.ทำให้อิ่มตัวผิวแห้ง 4.ชั่งน้ำหนักในขวด Pycnometer 5.คำนวณค่าความถ่วงจำเพาะ 77 / 100 77. อัตราส่วนน้ำต่อซีเมนต์ (w/c ratio) สูงสุดที่ยอมให้ใช้ในงานโครงสร้างทั่วไปคือเท่าใด 1. 0.5 2. 0.55 3. 0.6 4. 0.65 ตามมาตรฐาน ACI 318 อัตราส่วนน้ำต่อซีเมนต์สูงสุดที่ยอมให้สำหรับงานโครงสร้างทั่วไปคือ 0.55 เพื่อควบคุมกำลังอัด ความทึบน้ำ และความคงทนของคอนกรีต 78 / 100 78. เหล็กเสริม SD50 มีกำลังที่จุดครากเท่าใด 1. 400 MPa 2. 450 MPa 3. 500 MPa 4. 550 MPa เหล็กเสริม SD50 ตามมาตรฐาน มอก.24-2559 มีกำลังที่จุดคราก (Yield Strength) 500 MPa หรือ 5000 ksc เป็นเหล็กข้ออ้อยกำลังสูงที่นิยมใช้ในงานโครงสร้างที่ต้องการรับแรงสูง 79 / 100 79. การทดสอบค่าการยุบตัวของคอนกรีต (Slump Test) ที่เหมาะสมสำหรับงานโครงสร้างทั่วไปควรมีค่าเท่าใด 1. 5-7.5 ซม. 2. 7.5-10 ซม. 3. 10-12.5 ซม. 4. 12.5-15 ซม. ตามมาตรฐาน ACI 211.1 คอนกรีตสำหรับงานโครงสร้างทั่วไปควรมีค่าการยุบตัว 7.5-10 ซม. เพื่อให้สามารถเทและจี้เข้าแบบได้ดี ไม่เหลวหรือข้นเกินไป และได้ความแน่นที่เหมาะสม 80 / 100 80. การทดสอบกำลังอัดของคอนกรีตมาตรฐานทำที่อายุกี่วัน 1. 7 วัน 2. 14 วัน 3. 28 วัน 4. 56 วัน ตามมาตรฐาน ASTM C39 การทดสอบกำลังอัดคอนกรีตมาตรฐานจะทำที่อายุ 28 วัน เนื่องจากเป็นช่วงที่คอนกรีตมีการพัฒนากำลังอัดได้ประมาณ 95-100% ของกำลังอัดสูงสุด ซึ่งเป็นค่าที่ใช้ในการออกแบบ 81 / 100 81. สัญลักษณ์การเขียนแบบใดใช้แสดงแนวตัดของรูปตัด (Section) 1. เส้นประหนาพร้อมลูกศร 2. เส้นทึบพร้อมลูกศร 3. เส้นจุดพร้อมลูกศร 4. เส้นประบางพร้อมลูกศร แนวตัดแสดงด้วยเส้นประหนาพร้อมหัวลูกศรที่ปลายทั้งสองด้าน และมีตัวอักษรหรือตัวเลขกำกับ เช่น A-A, 1-1 เพื่อระบุว่าเป็นรูปตัดใดในแบบ 82 / 100 82. การเขียนแบบรายละเอียดการเสริมเหล็กฐานรากต้องแสดงในมุมมองใดบ้าง 1. รูปด้านบนอย่างเดียว 2. รูปตัดอย่างเดียว 3. รูปด้านบนและรูปตัด 4. ภาพ 3 มิติ การเขียนแบบรายละเอียดฐานรากต้องแสดง: 1.รูปด้านบน (Plan) 2.รูปตัด (Section) ทั้งด้านยาวและด้านกว้าง 3.รายละเอียดการวางเหล็กเสริมทั้งชั้นล่างและชั้นบน พร้อมระบุระยะหุ้มคอนกรีต 83 / 100 83. การกำหนดระดับพื้นสำเร็จ (Finished Floor Level) ในแบบใช้สัญลักษณ์ใด 1. FGL. 2. FSL. 3. FLL. 4. FFL. ระดับพื้นสำเร็จใช้สัญลักษณ์ FFL. (Finished Floor Level) ตามด้วยค่าระดับ เพื่อแสดงระดับพื้นที่เสร็จสมบูรณ์พร้อมใช้งาน ซึ่งรวมความหนาของวัสดุปูพื้นแล้ว 84 / 100 84. การเขียนแบบผังเสาเข็มต้องแสดงข้อมูลใดบ้าง 1. ตำแหน่งเท่านั้น 2. ขนาดและระยะ 3. ความลึกและน้ำหนัก 4. ข้อมูลครบทั้ง 6 ข้อ แบบผังเสาเข็มต้องแสดง: 1.ตำแหน่งเสาเข็มแต่ละต้น 2.ระยะห่างระหว่างเสาเข็ม 3.ขนาดและชนิดของเสาเข็ม 4.ความลึกของเสาเข็ม 5.น้ำหนักบรรทุกที่รับได้ 6.ระดับตัดหัวเสาเข็ม 85 / 100 85. การแสดงรอยต่อคอนกรีต (Construction Joint) ในแบบก่อสร้างใช้สัญลักษณ์ใด 1. เส้นคู่ขนาน 2. เส้นประ 3. เส้นจุด 4. เส้นซิกแซก รอยต่อคอนกรีต (Construction Joint) แสดงด้วยเส้นทึบหนา 2 เส้นขนานกัน โดยมีอักษร CJ กำกับ เพื่อระบุตำแหน่งที่จะหยุดเทคอนกรีตและต่อเทในครั้งถัดไป 86 / 100 86. ตัวอักษรใดในแบบก่อสร้างใช้แทนระดับความสูงเทียบกับระดับอ้างอิง 1. RL. 2. FL. 3. EL. 4. GL. EL. (Elevation) ใช้แสดงระดับความสูงเทียบกับระดับอ้างอิง โดยปกติจะกำหนดระดับ ±0.00 ที่พื้นชั้น 1 ของอาคาร และแสดงระดับอื่นๆ เป็นค่าบวกขึ้นไปและค่าลบลงมา 87 / 100 87. การเขียนแบบขยายจุดต่อโครงสร้างควรใช้มาตราส่วนเท่าใด 1. 1:50 2. 1:20 3. 1:10 4. 1:5 การเขียนแบบขยายจุดต่อโครงสร้าง (Structural Connection Detail) ควรใช้มาตราส่วน 1:20 หรือ 1:25 เพื่อให้เห็นรายละเอียดการเชื่อมต่อ การยึดน็อต ระยะห่าง และรายละเอียดอื่นๆ ได้ชัดเจน 88 / 100 88. สัญลักษณ์ใดใช้แทนเหล็กเส้นกลมผิวเรียบในแบบก่อสร้าง 1. RB 2. DB 3. SD 4. SR ตามมาตรฐานการเขียนแบบวิศวกรรม เหล็กเส้นกลมผิวเรียบ (Round Bar) ใช้สัญลักษณ์ RB ตามด้วยขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางเป็นมิลลิเมตร เช่น RB9 หมายถึงเหล็กเส้นกลมผิวเรียบขนาด 9 มม. 89 / 100 89. การเขียนแบบรายละเอียดเหล็กเสริมคานต้องแสดงรายละเอียดใดบ้าง 1. เหล็กเสริมหลักเท่านั้น 2. รายละเอียดทั้งหมด 5 หัวข้อ 3. เหล็กเสริมและเหล็กปลอก 4. ขนาดและระยะเท่านั้น การเขียนแบบรายละเอียดเหล็กเสริมคานต้องแสดง: 1.ขนาดและจำนวนเหล็กเสริมรับแรงดึง 2.ขนาดและระยะเหล็กปลอก 3.ระยะคอนกรีตหุ้มเหล็ก 4.ความยาวทาบเหล็ก 5.รายละเอียดการงอปลายเหล็ก 90 / 100 90. มาตราส่วนใดเหมาะสมที่สุดสำหรับแบบรายละเอียดโครงสร้าง 1. 2:40 2. 2:15 3. 1:50 4. 1:25 มาตราส่วน 1:50 เป็นมาตราส่วนมาตรฐานที่ใช้ในการเขียนแบบรายละเอียดโครงสร้าง เนื่องจากสามารถแสดงรายละเอียดการเสริมเหล็ก ระยะต่างๆ และองค์ประกอบโครงสร้างได้ชัดเจน เหมาะสมกับขนาดกระดาษที่ใช้งาน 91 / 100 91. การเบิกจ่ายเงินค่าก่อสร้างงวดสุดท้ายต้องหักเงินประกันผลงานกี่เปอร์เซ็นต์ 1. 3% 2. 4% 3. 5% 4. 10% ตามระเบียบการเบิกจ่ายเงินจากคลัง การเก็บรักษาเงินและการนำเงินส่งคลัง ต้องหักเงินประกันผลงาน 5% ของเงินที่ต้องจ่ายในงวดนั้นเพื่อเป็นประกันผลงาน 92 / 100 92. การส่งมอบงานก่อสร้างต้องผ่านการตรวจรับจากคณะกรรมการกี่คน 1. 2 คน 2. 3 คน 3. 4 คน 4. 5 คน ตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการจัดซื้อจัดจ้างฯ คณะกรรมการตรวจรับพัสดุในงานจ้างก่อสร้างประกอบด้วยประธาน 1 คน และกรรมการอย่างน้อย 2 คน รวมเป็นอย่างน้อย 3 คน 93 / 100 93. การควบคุมงานก่อสร้างต้องมีผู้ควบคุมงานอย่างน้อยกี่คน 1. 1 คน 2. 2 คน 3. 3 คน 4. 4 คน ตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการจัดซื้อจัดจ้างฯ ต้องมีผู้ควบคุมงานอย่างน้อย 1 คน เพื่อรับผิดชอบในการควบคุมงานก่อสร้างให้เป็นไปตามรูปแบบรายการและข้อกำหนดในสัญญา 94 / 100 94. การแก้ไขสัญญาจ้างก่อสร้างต้องได้รับความเห็นชอบจากหน่วยงานใด 1. กรมบัญชีกลาง 2. สำนักงบประมาณ 3. สำนักงานอัยการสูงสุด 4. กระทรวงการคลัง ตาม พ.ร.บ.การจัดซื้อจัดจ้างฯ การแก้ไขสัญญาต้องได้รับความเห็นชอบจากหัวหน้าหน่วยงานของรัฐ และต้องพิจารณาโดยสำนักงานอัยการสูงสุดก่อนการลงนามในสัญญาแก้ไข 95 / 100 95. ระยะเวลาการรับประกันผลงานก่อสร้างทั่วไปกำหนดไว้กี่ปี 1. 1 ปี 2. 2 ปี 3. 3 ปี 4. 5 ปี ตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการจัดซื้อจัดจ้างฯ กำหนดระยะเวลาการรับประกันความชำรุดบกพร่องของงานก่อสร้างไว้ไม่น้อยกว่า 2 ปี นับถัดจากวันที่ได้รับมอบงาน 96 / 100 96. การขออนุญาตก่อสร้างอาคารต้องยื่นเอกสารต่อหน่วยงานใด 1. องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น 2. กรมโยธาธิการ 3. กรมที่ดิน 4. กระทรวงมหาดไทย ตาม พ.ร.บ.ควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 การขออนุญาตก่อสร้างอาคารต้องยื่นต่อเจ้าพนักงานท้องถิ่น ได้แก่ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในพื้นที่ที่จะทำการก่อสร้าง 97 / 100 97. ในการรับรองแบบก่อสร้าง ผู้ใดมีอำนาจลงนามรับรอง 1. นายช่างโยธา 2. วิศวกรโยธาระดับสามัญ 3. สถาปนิก 4. ผู้รับเหมา ตามกฎกระทรวงกำหนดสาขาวิชาชีพวิศวกรรมและวิชาชีพวิศวกรรมควบคุม พ.ศ. 2550 การรับรองแบบก่อสร้างต้องดำเนินการโดยวิศวกรโยธาที่ได้รับใบอนุญาตประกอบวิชาชีพวิศวกรรมควบคุม ระดับสามัญวิศวกรขึ้นไป 98 / 100 98. การควบคุมงานก่อสร้างต้องจัดทำรายงานการปฏิบัติงานประจำวันอย่างไร 1. ทุกวัน 2. ทุก 3 วัน 3. ทุก 7 วัน 4. ทุก 15 วัน ตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการจัดซื้อจัดจ้างฯ ผู้ควบคุมงานต้องจัดทำรายงานผลการปฏิบัติงานประจำวัน บันทึกสภาพการปฏิบัติงานของผู้รับจ้าง เหตุการณ์แวดล้อม และการสั่งหยุดงานหรือพักงาน พร้อมทั้งระบุปัญหาอุปสรรคและวิธีการแก้ไข 99 / 100 99. การกำหนดราคากลางงานก่อสร้างต้องใช้หลักเกณฑ์ตามหน่วยงานใด 1. สำนักงบประมาณ 2. กรมโยธาธิการ 3. กรมบัญชีกลาง 4. สำนักนายกรัฐมนตรี ตามมติคณะรัฐมนตรี กำหนดให้ใช้หลักเกณฑ์การคำนวณราคากลางงานก่อสร้างของกรมบัญชีกลาง กระทรวงการคลัง เป็นมาตรฐานอ้างอิงในการคำนวณราคากลางงานก่อสร้างของหน่วยงานภาครัฐ 100 / 100 100. พระราชบัญญัติการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ มีผลบังคับใช้ในปีใด 1. พ.ศ. 2559 2. พ.ศ. 2560 3. พ.ศ. 2561 4. พ.ศ. 2562 พระราชบัญญัติการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. 2560 เป็นกฎหมายสำคัญที่ใช้ในการควบคุมการจัดซื้อจัดจ้างของหน่วยงานรัฐ โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 23 สิงหาคม 2560 แทนระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. 2535 Your score isThe average score is 0% Tags:นายช่างโยธาปฏิบัติงาน กรมการพัฒนาชุมชน เนื้อหาอื่น นายช่างโยธาปฏิบัติงาน กรมการพัฒนาชุมชน ชุดที่ 10 นายช่างโยธาปฏิบัติงาน กรมการพัฒนาชุมชน ชุดที่ 9 แชร์บทความ